คำพิพากษาล่าสุดของศาลฎีกาที่ 8109 ปี 2024 ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับความรับผิดทางวิชาชีพในด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและควบคุมสถานพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตอย่างรุนแรง คดีนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเรียกร้องค่าเสียหายจากนาย A.A. บิดาของนางสาว C.C. ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในสถานดูแลผู้ป่วย ศาลได้ยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้น โดยปฏิเสธความรับผิดของสถานพยาบาล และชี้แจงวิธีการกำหนดความเสียหายและภาระการพิสูจน์
นาย A.A. อ้างว่าการเสียชีวิตของบุตรสาวเป็นผลมาจากการละเลยการเฝ้าระวังของสถานพยาบาล ซึ่งไม่ได้ติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ได้ปฏิเสธความรับผิดของสถานพยาบาลแล้ว โดยระบุว่าไม่มีภาระหน้าที่ในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลการวินิจฉัยของแพทย์ที่น่าพอใจและพฤติกรรมของผู้ป่วย
แนวคำพิพากษาของศาลนี้ได้วางหลักไว้ว่า การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายโดยญาติใกล้ชิดของผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตจะต้องเข้าข่ายความรับผิดทางละเมิด
ศาลได้ชี้แจงว่าการเรียกร้องค่าเสียหายของนาย A.A. อยู่ภายใต้ขอบเขตของความรับผิดทางละเมิดตามมาตรา 2043 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่ความรับผิดทางสัญญา ซึ่งหมายความว่าผู้ร้องมีหน้าที่พิสูจน์การมีอยู่ของการกระทำผิดกฎหมาย ความผิดของสถานพยาบาล และความเสียหายที่เกิดขึ้น ศาลได้เน้นย้ำว่าสถานพยาบาลได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ในการเฝ้าระวัง โดยอาศัยผลการวินิจฉัยทางการแพทย์และพฤติกรรมของผู้ป่วย
โดยสรุป คำพิพากษาที่ 8109 ปี 2024 ของศาลฎีกาได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับความรับผิดของสถานพยาบาลและภาระการพิสูจน์ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยจิตเวช เป็นสิ่งสำคัญที่ครอบครัวของผู้ป่วยจะต้องตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างความรับผิดทางสัญญาและความรับผิดทางละเมิด และความสำคัญของการนำเสนอหลักฐานที่หนักแน่นในศาลเพื่อสนับสนุนการเรียกร้องค่าเสียหายของตน ความชัดเจนของศาลในประเด็นเหล่านี้ถือเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติทางกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขา