คำพิพากษาที่ 48560 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2023 และได้ยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมในปีเดียวกัน ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพิจารณาประเด็นเรื่องการให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาแบบสมาคมตามมาตรา 416-bis แห่งประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยในกรณีที่บุคคลถูกกล่าวหาว่าให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกขององค์กรมาเฟียในการหลีกเลี่ยงการสืบสวนของเจ้าหน้าที่
ศาลได้ชี้แจงว่าความผิดฐานให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลจะเกิดขึ้นได้เมื่อการกระทำของผู้กระทำผิดมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนสมาชิกในการหลีกเลี่ยงการสืบสวน โดยที่ไม่มีเจตนาที่จะเข้าร่วม "animus socii" ในการกระทำความผิด นี่เป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากเป็นการแยกความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างการให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลกับการสมรู้ร่วมคิดในความผิดทางอาญาแบบสมาคม
ความผิดฐานให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการกระทำความผิดทางอาญาแบบสมาคมตามมาตรา 416-bis แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในกรณีที่การกระทำของผู้กระทำผิดมีเจตนาที่จะช่วยเหลือสมาชิกในการหลีกเลี่ยงการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ และไม่ใช่เจตนาที่จะเข้าร่วม "animus socii" ในการกระทำความผิด (กรณีที่ถือว่ามีความผิดฐานให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลจากการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนและส่งมอบอุปกรณ์ดักฟังให้กับสมาชิกขององค์กรมาเฟีย)
คำพิพากษานี้เป็นส่วนหนึ่งของบริบททางกฎหมายที่ซับซ้อน ซึ่งการแยกแยะระหว่างการให้ความช่วยเหลือและการสมรู้ร่วมคิดในความผิดทางอาญาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ตามมาตรา 110 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การสมรู้ร่วมคิดของบุคคลในความผิดทางอาญาหมายถึงการร่วมมืออย่างแข็งขัน ในขณะที่ในกรณีของการให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคล การกระทำของผู้กระทำผิดเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาอยู่แล้ว ข้อพิจารณาต่อไปนี้สามารถช่วยชี้แจงสถานการณ์ได้:
คำพิพากษาที่ 48560 ปี 2023 นำเสนอแนวทางการตีความที่สำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะของการให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคลภายในความผิดทางอาญาแบบสมาคม คำพิพากษานี้เน้นย้ำว่าเจตนาที่จะช่วยเหลือสมาชิกในการหลีกเลี่ยงการสืบสวนสามารถถือเป็นการกระทำที่ต้องรับผิดทางอาญาได้ โดยไม่คำนึงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วมในการกระทำความผิด การชี้แจงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองความชอบด้วยกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอาญาอย่างถูกต้อง