คำพิพากษาที่ 1653 ปี 2025 ซึ่งออกโดยศาลฎีกา (Corte Suprema di Cassazione) ได้กล่าวถึงประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของความรับผิดทางวินัยของผู้พิพากษา: การบังคับใช้หลักการ 'favor rei' ตามมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (c.p.) ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ประเด็นหลักของคำพิพากษา โดยเน้นย้ำถึงนัยทางกฎหมายและเหตุผลในการตัดสินของศาล
หลักการ 'favor rei' กำหนดว่า ในกรณีที่มีการยกเลิกความผิดอาญา (abolitio criminis) กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อจำเลยจะต้องถูกนำมาใช้ย้อนหลัง อย่างไรก็ตาม ศาลได้ชี้แจงว่าหลักการนี้ไม่สามารถนำมาใช้กับเรื่องความรับผิดทางวินัยของผู้พิพากษาได้ เนื่องจากความผิดทางวินัยถือเป็นความผิดทางปกครอง
หลักการ "favor rei" ตามมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา - การบังคับใช้ - การยกเว้น - มาตรา 32 bis แห่งกฎหมายว่าด้วยการออกกฎหมาย (d.lgs.) ที่ 109 ปี 2006 - การนำหลักการมาใช้ - การยกเว้น - เหตุผล - ข้อเท็จจริง
ศาลได้ยืนยันอีกครั้งว่า เนื่องจากหลักการ 'favor rei' ไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ การแก้ไขกฎหมายที่ส่งผลต่อระเบียบวินัยของผู้พิพากษาจึงไม่สามารถมีผลย้อนหลังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 32 bis วรรค 2 แห่งกฎหมายว่าด้วยการออกกฎหมาย (d.lgs.) ที่ 109 ปี 2006 ไม่ได้กำหนดระบบกฎเกณฑ์ที่คล้ายคลึงกับมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (c.p.) แต่เพียงกำหนดว่า สำหรับการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ให้ใช้บทบัญญัติที่เอื้อประโยชน์มากกว่าตามมาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกา (r.d.l.) ที่ 511 ปี 1946
ในกรณีเฉพาะนี้ ศาลได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องของการแก้ไขมาตรา 346 bis แห่งประมวลกฎหมายอาญา (c.p.) ที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานค้าอิทธิพลโดยมิชอบ โดยยืนยันว่าการจำแนกประเภททางกฎหมายของการกระทำที่เกี่ยวข้องทางวินัยจะต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่กระทำการ การชี้แจงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับประกันความแน่นอนของกฎหมายและความมั่นคงของระบบวินัย
คำพิพากษาที่ 1653 ปี 2025 ถือเป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญในการทำความเข้าใจความรับผิดทางวินัยของผู้พิพากษา การยกเว้นหลักการ 'favor rei' ในบริบทนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎระเบียบทางวินัยอย่างเคร่งครัด โดยยังคงความแตกต่างระหว่างกฎหมายอาญาและกฎหมายปกครอง ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายและผู้พิพากษาเองจะต้องตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการยุติธรรมจะดำเนินไปอย่างถูกต้อง